. 0 min read

web3 คืออะไร ? เป็นเทคโนโลยีแบบไหน ?

Web3

โลกของเราได้เชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และผันเปลี่ยนสู่ยุคใหม่ ๆ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น ทำให้คนทุกวัยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไม่ยาก

จาก web 1 สู่ web3 คือการพัฒนาที่สำคัญสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต กล่าวคือ ตอนนี้เราได้ก้าวเข้าสู่รุ่นที่ 3 ของนวัตกรรมนี้แล้ว สิ่งที่เคยเป็นปัญหาหรือช่องโหว่จาก web 2 จะถูกปรับให้มีความมั่นคงและทำงานได้ดียิ่งขึ้น

บทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี web3 คืออะไร สิ่งที่จะตามมาหลังจากโลกทั้งใบได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหน้าที่และบทบาทสำคัญของweb3 ที่มีต่อบล็อกเชน เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือได้อย่างง่ายดาย

web3 คืออะไร ?


ก่อนที่จะทำความรู้จักเกี่ยวกับ web3 คืออะไร เรามาย้อนข้อมูลเกี่ยวกับ web 1 และ 2 กันเพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจได้มากขึ้น

หากคุณยังจำได้ว่าสมัยก่อนในยุคเริ่มแรก เมื่อจะทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณจะต้องทำการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์บ้านเพื่อเปิดรับสัญญาณเพื่อเข้าถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยโมเด็ม บางคนใช้เป็นบัตรโทรศัพท์ที่จำกัดเวลา จำกัดความเร็ว นี่คือนวัตกรรมเริ่มต้นของยุคอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Web 1 นั่นเอง

จนมาถึงปัจจุบัน ทุกคนมีสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กเป็นของตัวเอง การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพียงแค่เปิดอุปกรณ์รับสัญญาณก็สามารถใช้งานได้ทันที แถมความเร็วเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนมาก สามารถรับส่งข้อมูลได้หลาย GB ทุกอย่างเป็นเรียลไทม์มากขึ้นแม้จะอยู่คนละซีกโลกก็ตาม และสิ่งนี้คือการพัฒนาและเป็นนวัตกรรม Web 2

สำหรับนวัตกรรม web3 ยังคงเป็นสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะมีการพัฒนาขึ้นในอนาคต โดยผู้คนจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายเช่นเดิม แต่จะลดภาระของโฮสต์หรือผู้ควบคุมลงกลายเป็นการกระจายอำนาจ ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างตัวตนและสร้างสรรค์ผลงานได้โดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น

แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่เพิ่มเติมในใน web3 คือความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น ซึ่งมันคือปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกในระหว่างที่เรากำลังอยู่ Web 2 นี้

AI จะเข้ามามีส่วนร่วมกับ web3 มากขึ้น ทำให้คุณสมบัติต่าง ๆ มีความเป็นอัจฉริยะโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางให้ยุ่งยาก คุณสามารถทำการซื้อขายได้แบบ P2P (บุคคลต่อบุคคล) โดยที่ยังคงความปลอดภัยไว้เพราะมีการตรวจสอบจากระบบอยู่ตลอดเวลา

นิยามคุณลักษณะ web 3.0 คืออะไรบ้าง ?


เรามาดูกันว่า คุณลักษณ์สำคัญของ web3 คืออะไรบ้าง และจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรในอนาคต

การกระจายอำนาจ (Decentralization)

ข้อมูลจะไม่ถูกจำกัดอยู่ที่คนใดคนหนึ่งอีกต่อไป ผู้คนต่างจะเป็นเจ้าของข้อมูลเหล่านี้ได้เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือจะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นนั่นเอง ทำให้ยากต่อการแฮ็คข้อมูลหรือการเข้าถึงโดยบุคคลไม่พึงประสงค์

การกระจายอำนาจ (Decentralization)

คุณสามารถทำการอนุญาต หรือจัดการผู้ที่ไม่หวังดีต่อข้อมูลของคุณได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงสามารถขายข้อมูลของตนเองได้อย่างอิสระเนื่องจากคุณเป็นผู้ควบควมข้อมูลส่วนตัวและยังกำหนดได้ด้วยว่าจะจัดเก็บไว้ที่ใดแทนที่จะส่งไปยังส่วนกลางที่จัดเก็บข้อมูล

การรักษาความปลอดภัยขั้นสูง (Enhanced security)

สิ่งที่จะตามมาเมื่อมีการกระจายอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลนั่นก็คือความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันหากต้องการเจาะข้อมูลที่ต้องการจะต้องเข้าถึงข้อมูลศูนย์รวมหรือก็คือโฮสต์ที่จัดเก็บข้อมูลเท่านั้น ก็จะมีข้อมูลมหาศาลรั่วไหลออกมา

การรักษาความปลอดภัยขั้นสูง (Enhanced security)

แต่หากใช้ web3 คือไม่ต้องกังวลเรื่องการขโมยข้อมูลดังกล่าวอีกต่อไป เพราะคุณสามารถกำหนดข้อมูลส่วนตัวได้ด้วยตนเอง

โดยเทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในสถาบันทางการเงิน ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความปลอดภัยสูงสุด และยังสามารถจัดการกับข้อมูลตัวเองได้อย่างอิสระอีกด้วย

เว็บเชิงความหมาย (Semantic Web)

ในอนาคตการจัดการ การวิเคราะห์สิ่งที่เหมาะสมกับเราจะอาศัยเทคโนโยลีเชิงความหมาย กล่าวคือ AI จะเข้ามามีบทบาทในการเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับคุณอย่างอัจฉริยะ การคำนวณ การคัดเลือกข้อมูลที่จำเป็นซึ่งช่วยในการประหยัดเวลาเมื่อต้องค้นหาสิ่งที่ต้องการท่ามกลางข้อมูลอันมหาศาล

นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการตลาดที่เหมาะสมให้กับธุรกิจข้างหน้าต่อไปในอนาคต เพราะเทคโลยีดังกล่าวจะไปช่วยคัดกรองลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น มีโอกาสที่จะซื้อขายเกิดขึ้นมากกว่าปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าจะเฉพาะมากขึ้นโดยไม่ต้องส่งโฆษณาแบบหว่านแหอีกต่อไป

ทำไม web 3 จึงมีความสำคัญ ?


สิ่งที่ยังเป็นปัญหาและยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจนก็คือความปลอดภัยที่เกิดขึ้นใน Web2 โดยสิ่งที่เกิดขึ้นใน Web 2 นี้ก็คือบรรดาโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Twitter Redit และอื่น ๆ อีกมากมาย

ถึงแม้จะมีการสมัครสมาชิกโดยใช้พาสเวิร์ด อีเมลส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลุดออกจากการโจรกรรมข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้

ในยุคเริ่มแรก ผู้ใช้งานไม่มีสิทธิ์ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ทำได้เพียงแค่รับคอนเทนต์จากทางเว็บไซต์เท่านั้น หรือที่เรียกว่าทำได้แค่เพียงเสพคอนเทนต์มากกว่าที่จะทำเงินจากคอนเทนต์ของตัวเอง เว็บไซต์ที่เป็นรุ่นแรกนี้ได้แก่ Yahoo และ Google

ต่อมา โซเชียลมีเดียเริ่มปรากฎเป็นรูปร่าง ผู้ใช้งานสามารถผลิตคอนเทนต์และทำเงินได้ด้วยตัวเอง แต่ก็บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากสุดท้ายแล้วคอนเทนต์ของพวกเขาก็ยังคงต้องถูกจัดเก็บไว้ที่โฮสต์อย่างเช่น Facebook Youtube เป็นต้น

ดังนั้นแล้ว ต่อไปเทคโนโลยี web3 คือจะทำให้ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยตนเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังสามารถจัดเก็บและควบคุมของตัวเองได้เต็มรูปแบบ เชื่อมต่อทุกคนเข้าด้วยกัน มีความเสมอภาค ไม่มีคนใดคนหนึ่งที่ถือข้อมูลมากจนเกินไป และทุกคนมีสิทธิ์ในข้อมูลของตัวเองแบบ 100%

มองผิวเผินแบบนี้อาจไม่ได้สำคัญต่อผู้ใช้งานทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่สำหรับสถาบันการเงินหรือบล็อกเชนแล้วนี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้งานจะไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลส่วนตัวจะหลุดไปยังบุคคลภายนอกหากเราไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นเอง

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย web 3.0 คืออะไรบ้าง ?


เรามาดูกันว่าเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบจาก web3 คืออะไรบ้าง และพวกมันมีหน้าที่สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจนั้น ๆ

บล็อกเชนและโทเค็น

คุณจะได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยี web3 ผ่านจากข้อมูลข่าวสารของบล็อกเชนและคริปโตอยู่เสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานนั่นเอง

บล็อกเชน

การใช้บล็อกเชนและโทเค็นใน Web3 ช่วยให้ผู้ใช้มีความควบคุมมากขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลและสิทธิ์ของตนเอง ลดความขึ้นต่ำต่อการอ้างอิงจากตัวกลาง และสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทในการให้บริการ

เทคโนโลยีเชิงความหมาย (Semantic)

เทคโนโลยี Semantic ใน web3 คือความสามารถเข้าใจและวิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองต่อคำถามและความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น การใช้ Semantic ช่วยให้ข้อมูลบนเว็บมีความหมาย สามารถติดตาม และนำไปใช้งานในทางที่มีประสิทธิภาพ

นั่นหมายความว่าข้อมูลจะถูกส่งตรงผู้ที่ต้องการได้อย่างตรงจุดมากขึ้น และสามารถคัดเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรับข้อมูลที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

web 3.0 ในเชิงปฏิบัติการ


การใช้งานของ web3 คือนำมาสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบและทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ นั้นปลอดภัย ซึ่งจะประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้

สัญญาอัจฉริยะ

ในนวัตกรรมบล็อกเชน สิ่งที่เรามักเห็นกันอยู่เป็นประจำคือ สัญญาอัจฉริยะ ที่จะช่วยตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้งานโดยไม่ต้องเสียเวลาในการทำธุรกรรมที่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ ทำให้ลดต้นทุน ลดค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

โดยในเทคโนโลยี web3 จะเพิ่มความรัดกุมให้กับสัญญามากยิ่งขึ้น มีการจัดเก็บลายเซ็นในบล็อกเชนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถเข้าถึงได้หากไม่มีการยินยอมจากเจ้าของสัญญา นอกจากนี้การทำสัญญาจะไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางใด ๆ แต่ทุกอย่างถูกร่างมาโดยสมบูรณ์และครอบคลุมมากที่สุด

การระบุตัวตนดิจิทัลแบบกระจายศูนย์

ในการระบุตัวตนแบบกระจายศูนย์ด้วยเทคโนโลยี web3 จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีสิทธิ์ในการควบคุมข้อมูลของตัวเองมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ให้อิสระในการใช้ข้อมูลส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ กำหนดสิทธิผู้ที่เข้าถึงได้ด้วยตนเอง

ซึ่งแนวทางการระบุตัวตนดิจิทัลแบบกระจายศูนย์นั้นมีหลักการหลัก ๆ คือ ผู้ใช้งานควบคุมข้อมูลเองได้โดยตรง ไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทหรือหน่วยงานใด มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ และที่สำคัญมีใบรับรองไว้สำหรับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง

ความท้าทายของ web 3.0 คืออะไร


ถึงแม้ web 3 จะเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นและน่าสนใจ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อนำมาใช้งานจริง และนี่คือสิ่งที่เหล่าผู้พัฒนาจำเป็นจะต้องขบคิดและแก้ไขปัญหาเพื่อให้การใช้การที่ราบรื่น

ด้านเทคนิค

เนื่องจากเป็นข้อมูลแบบกระจายอำนาจ ทำให้ทุกคนมีสิทธิที่จะรักษาข้อมูลของตนเอง ดังนั้นแล้วจึงจะต้องใช้กำลังในการประมวลผลที่มากขึ้นกว่าอำนาจแบบรวมศูนย์ เพราะทุกคนจะต้องทำธุรกรรมแบบ Peer-To-Peer ทั้งหมด ทำให้เมื่อเวลาทำธุรกรรมพร้อมกันอาจมีความล่าช้ากว่าปกติได้

สิ่งที่จะตามมาในด้านเทคนิคของ web 3 คือค่าใช้จ่ายที่อาจจะต้องเพิ่มเข้ามาเพื่อให้มีการประมวลผลให้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง

ประสบการณ์ผู้ใช้

ผู้ใช้งานอาจจะต้องเรียนรู้และศึกษาการใช้งาน web3 เพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจระบบการทำงาน ซึ่งมันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่คุ้นชินกับอินเทอร์เฟซแบบเดิมของ Web 2 เพราะการใช้งานที่ง่ายและไม่ยาก มีเมนูการใช้งานชัดเจน

ในขณะที่ web3 อาจจะต้องเรียนรู้การใช้ซอร์ฟแวร์ใหม่ รวมไปถึงระบบที่เชื่อมต่อใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการพัฒนาออกมาให้ใช้งานง่ายขึ้น เพราะยังไม่สามารถใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้โดยตรง หากจะใช้งานจำเป็นต้องเพิ่มปลั๊กอินเข้ามา ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้งานระดับ user ทั่วไป

การควบคุมดูแล

เมื่อการใช้งานที่ยากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานเลือกที่จะไม่ใช่เทคโนโลยีประเภทนี้ถึงแม้จะมีความปลอดภัยมากเพียงใดก็ตาม นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้ผู้ใช้งานถอดใจที่ก่อนที่จะทดลองใช้งานด้วยซ้ำ

และนอกจากนี้ เหล่าผู้พัฒนาจำเป็นจะต้องยกระดับอุปกรณ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์เพื่อให้การเข้าถึงเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังเป็นโจทย์ที่ยากและสำคัญ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ยังสูงและการเข้าถึงที่ยากและใช้งานได้อย่างไม่ทั่วถึง

บทสรุป


แน่นอนว่าเทคโนโลยี web3 คือความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เป็นยุคสมัยใหม่ที่ผู้คนสามารถควบคุมและจัดการข้อมูลของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ขึ้นอยู่กับโฮสต์ หรือคนใดคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามมาก็ยังคงเป็นปัญหาที่ผู้พัฒนาต้องนำไปขบคิดเพื่อแก้ไขเพื่อให้สมดุลมากยิ่งขึ้น

เพราะอย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ User ทั่วไปเท่านั้น การเรียนรู้สิ่งใหม่อาจเป็นเรื่องท้าทายแต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคของ web3 จะช่วยให้เกิดปัญหาโจรกรรมน้อยลง ความเป็นส่วนตัวได้รับการปกป้องมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web2 ยังคงไม่สามารถทำได้ในตอนนี้