เหรียญ Proof of Work (PoW) คืออะไร?

ภาคภูมิ เกิดปราบ
| 15 min read

Proof of Work (PoW) คือกลไกฉันทามติที่ขับเคลื่อน Bitcoin บล็อกเชนโดยช่วยให้ Bitcoin ยังคงเป็นระบบนิเวศที่กระจายอำนาจและปลอดภัย โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง

ในบทความแนะนำสำหรับมือใหม่นี้ เราจะตอบคำถามว่า “Proof of Work คืออะไร?” เพื่อเรียนรู้การทำงานของ Proof of Work ว่าทำไมมันถึงสำคัญต่อเครือข่าย Bitcoin และเหรียญ Proof of Work มีอะไรบ้างเหรียญ Proof of Work (PoW) คืออะไร

PoW คืออะไรโดยสรุป?


Proof of Work เป็นกลไกฉันทามติที่ทำให้ Bitcoin มีการกระจายอำนาจ ช่วยให้เครือข่ายบรรลุ “ฉันทามติ” โดยไม่ต้องใช้บุคคลที่สาม ซึ่งแตกต่างจากการเงินแบบดั้งเดิมที่ต้องอาศัยตัวกลางในการประมวลผลธุรกรรม

  • ยกตัวอย่างเช่น พิจารณากระบวนการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ก่อนที่เงินจะถูกตัดจากบัญชีของคุณ ธนาคารต้องอนุมัติการโอน
  • และธนาคารของผู้รับก็ต้องอนุมัติด้วย
  • ก่อนที่เงินจะเข้าบัญชี นั่นหมายความว่าการโอนเงินผ่านธนาคารต้องผ่านตัวกลางสองคนก่อนที่จะบรรลุฉันทามติ

ในทางตรงกันข้าม ธุรกรรม Bitcoin จะบรรลุฉันทามติจากกลไก Proof of Work ทุกๆ 10 นาที จะมีบล็อกใหม่ของธุรกรรมถูกโพสต์ลงในบัญชีแยกประเภทบล็อกเชนเพื่อรออนุมัติฉันทามติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการแก้สมการเข้ารหัสลับที่มีเอกลักษณ์ ใครก็สามารถพยายามแก้สมการได้ แต่มันต้องใช้ฮาร์ดแวร์ขั้นสูง

เมื่อสมการถูกแก้แล้ว บล็อกธุรกรรม Bitcoin จะถูกโพสต์ในบล็อกเชน “นักขุด” ที่แก้ปริศนาสำเร็จจะได้รับรางวัล 6.25 BTC หลังจากนั้น บล็อกธุรกรรมใหม่ก็จะถูกโพสต์อีกครั้ง ให้โอกาสนักขุดรายอื่นแก้ไขต่อไป กระบวนการนี้เกิดขึ้นทุกๆ 10 นาที

การทำงานของ Proof of Work นั้นกินพลังงานจำนวนมาก เนื่องจากความซับซ้อนของสมการขุด ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “work” เหมือนกับการขุดทอง ธุรกรรม Bitcoin ต้องใช้ความพยายามก่อนที่จะยืนยันว่าถูกต้องนี่คือกลไก

จุดกำเนิดของ Proof of Work


แนวคิดของ Proof of Work นั้นย้อนกลับไปถึงยุค 1990 โดยมีที่มาจากงานวิจัยของ Cynthia Dwork และ Moni Naor ที่กล่าวถึงการต่อสู้กับอีเมลขยะ กล่าวอย่างง่ายๆ Proof of Work ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการละเมิดเซิร์ฟเวอร์ โดยกำหนดให้ผู้ใช้แก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ก่อนที่อีเมลจะได้รับการประมวลผล

มาถึงปี 2008 Bitcoin whitepaper ได้นำกลไก Proof of Work มาใช้ แทนที่จะรักษาความปลอดภัยของอีเมล Proof of Work ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาความมั่นคงของเครือข่าย Bitcoin ช่วยให้เฉพาะธุรกรรมที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะได้รับการยืนยันและโพสต์ลงในบล็อกเชน

จุดกำเนิดของ Proof of Work

นับตั้งแต่เปิดตัว Bitcoin กลไกฉันทามติอื่นๆ ก็ถูกพัฒนาขึ้น อย่างเช่น Proof of Stake (PoS) ที่ใช้โดย Ethereum บล็อกเชน ในตอนนี้ แม้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบาง Bitcoin โต้แย้งว่าควรนำ PoS มาใช้ แต่ PoW ยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะมันช่วยให้มีการกระจายอำนาจและความปลอดภัยของเครือข่ายในระดับที่สูงขึ้น

PoW ทำงานอย่างไร?


Proof of Work ช่วยให้ระบบนิเวศ Bitcoin ยืนยันธุรกรรมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม มันช่วยให้จริยธรรมดั้งเดิมของ Bitcoin ยังคงมีอยู่ นั่นคือ การทำธุรกรรมแบบ peer-to-peer ระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยแท้จริง อย่างไรก็ตาม หากไม่มี “นักขุด” กลไก PoW ก็ไม่สามารถทำงานได้

ทุกคนสามารถเป็นนักขุดได้ แค่เชื่อมต่อฮาร์ดแวร์พิเศษเข้ากับคอมพิวเตอร์ ทุกๆ 10 นาที เครื่องขุดแต่ละเครื่องจะพยายามแก้ปริศนาเข้ารหัสลับตัวต่อไป ซึ่งอาศัยกระบวนการ “ลองผิดลองถูก” เครื่องขุดจะลองแก้ไขไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก้ปริศนาได้ นักขุดคนแรกที่แก้ปริศนาได้จะเป็นผู้ได้รับรางวัลใน 10 นาทีนั้นของ Bitcoin และกระบวนการก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งยังงงๆ กับคำถามที่ว่า Proof of Work คืออะไรอยู่ใช่ไหม เรามาดูรายละเอียดพื้นฐานให้ชัดเจนขึ้นกัน

กระบวนการขุด

การขุดคือหัวใจสำคัญของ Proof of Work และเครือข่าย Bitcoin มันช่วยให้ Bitcoin ยังคงเป็นแบบกระจายอำนาจด้วยการสร้างแรงจูงใจ ด้วยเหตุนี้ นักขุดจึงได้รับผลตอบแทนเพื่อการยืนยันธุรกรรมที่ถูกต้องเท่านั้นและปฏิเสธอย่างอื่นที่ไม่ถูกต้อง ผลตอบแทนในการแก้ปริศนาการขุดเดิมนั้นอยู่ที่ 50 BTC

ในโค้ด Bitcoin รางวัลการขุดจะลดลง 50% ทุกๆ 210,000 บล็อก ซึ่ง 1 บล็อกจะขุดได้ใน 10 นาที ดังนั้นเหตุการณ์ Bitcoin Halving จะเกิดขึ้นในทุกๆ 4 ปีโดยประมาณ ในปี 2012, 2016, และ 2020 รางวัลการขุดได้ลดลงจาก 25 BTC เหลือ 12.5 BTC และ 6.25 BTC ตามลำดับ ใน 2024 รางวัลการขุดจะลดลงอีกครั้งเหลือ 3.125 BTC

พอทราบแล้วว่า Proof of Work ใช้หลักการจูงใจทางการเงิน การขุดจริงๆ มันทำงานอย่างไร?โดยสรุป นักขุดต้องแข่งขันกันแก้สมการที่ซับซ้อนมากจนมนุษย์แก้เองด้วยมือไม่ได้ นักขุด Bitcoin จึงต้องใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์พิเศษ เมื่อก่อนใช้ CPU และ GPU ก็เพียงพอ แต่เมื่อ Bitcoin ได้รับความนิยมมากขึ้น ตอนนี้ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางอย่าง ASIC

อธิบายกระบวนการขุด

ASIC นั้นไม่เพียงมีราคาแพงเท่านั้น แต่ยังกินไฟมากอีกด้วย เพราะฮาร์ดแวร์ ASIC จะพยายามหาคำตอบของสมการอยู่ตลอด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที จนกว่าจะหาคำตอบได้ หากคิดว่ามี ASIC อีกหลายพันตัวทำงานแบบเดียวกัน นี่เองจึงช่วยให้ธุรกรรม Bitcoin บรรลุฉันทามติได้

จากนั้นธุรกรรมจะได้รับการประมวลผลและเพิ่มลงในบล็อกเชน ซึ่งมีบันทึกธุรกรรมทั้งหมดตั้งแต่เครือข่าย Bitcoin เปิดตัวในปี 2009 ทำให้ Bitcoin เป็นระบบที่โปร่งใส

Bitcoin Cloud Mining คืออะไร?

  • การขุด Bitcoin นั้นมีการแข่งขันสูง หากพิจารณาจากรางวัลมหาศาลที่เป็นเดิมพัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขุด Bitcoin ที่บ้านด้วย CPU หรือ GPU อีกต่อไป
  • แม้จะมีเครื่องขุด ASIC ล่าสุด ก็ยังสร้างพลังขุดไม่มากพอที่จะชนะการแก้ปริศนาเข้ารหัสลับ แทนที่จะใช้แค่เครื่องเดียว ต้องใช้หลายร้อยเครื่อง ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายล้านดอลลาร์
  • นี่คือที่มาของ cloud mining มันช่วยให้ผู้ใช้ซื้อหุ้นของฟาร์มขุดได้ แม้จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย
  • รางวัลการขุดใดๆ ที่ได้มาจะถูกแบ่งตามสัดส่วน หักลบค่าธรรมเนียม

การปรับระดับความยากและเวลาเป้าหมายของบล็อก

Bitcoin มีเป้าหมายเวลายืนยันบล็อกที่ 10 นาที แต่นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีนักขุด Bitcoin มาแข่งขันกันมากขึ้น ก็จะเพิ่มพลังการคำนวณขึ้น และถ้ามีพลังมากขึ้น จะแก้ปริศนาขุดได้เร็วขึ้น

โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อราคา Bitcoin สูง เพราะมีนักขุดจำนวนมากขึ้นที่จะระดมทรัพยากร ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคา Bitcoin ต่ำ ก็มักจะมีนักขุดน้อยลง ส่งผลให้พลังคำนวณน้อยลงด้วย ทำให้ใช้เวลาเกิน 10 นาที ในการแก้ปริศนาขุด

ดังนั้น เครือข่าย Bitcoin จะปรับระดับความยากในการขุดโดยอัตโนมัติทุกๆ 2,106 บล็อก หากคิดจากเวลาบล็อกเฉลี่ย 10 นาที จะประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อความชัดเจน

  • เมื่อมีนักขุดแข่งขันกันน้อยลงเพื่อรางวัลบล็อก ระดับความยากในการขุดต้องลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เวลาบล็อกเกิน 10 นาที
  • เมื่อมีนักขุดในตลาดมากขึ้น ระดับความยากในการขุดต้องเพิ่มขึ้น เพื่อให้เวลาบล็อกไม่เร็วกว่าเป้าหมาย 10 นาที

ประเด็นสำคัญคือเวลาบล็อก Bitcoin จะไม่มีทางพอดี 10 นาทีแน่นอน แต่ธรรมชาติของ Proof of Work จะทำให้มันไม่เกินหรือขาดจาก 10 นาทีไปมากนัก

ข้อดีของ Proof of Work


กลไก Proof of Work มีข้อดีหลายประการ นอกจากจะช่วยรักษาความเป็นกระจายอำนาจของ Bitcoin แล้ว ยังให้ความปลอดภัยที่ไม่เหมือนใครแก่เครือข่ายอีกด้วย Proof of Work ยังสร้างแรงจูงใจให้นักขุดรักษาความปลอดภัยและความถูกต้องของเครือข่าย หากไม่มีแรงจูงใจทางการเงิน นักขุดก็คงไม่อุทิศพลังการคำนวณของพวกเขา

มาดูข้อดีเหล่านี้อย่างละเอียดกัน

ความปลอดภัยของเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

Proof of Work ถูกมองว่าเป็นกลไกฉันทามติที่ปลอดภัยที่สุด การขุดรางวัลบล็อกต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก เนื่องจากความซับซ้อนของปริศนาขุด นักขุดไม่เพียงต้องใช้ ASIC ที่ราคาแพง แต่ยังต้องใช้เวลา 10 นาทีด้วย ก่อนที่ปริศนาจะถูกแก้ได้

วิธีเดียวที่ Bitcoin จะเกิดการละเมิดความปลอดภัยได้ก็คือถ้า 51% ของการโจมตีประสบความสำเร็จ ซึ่งหมายความว่า นักขุดมีพลังคำนวณมากกว่าครึ่งหนึ่งของ Bitcoin ทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้ การโจมตีจะทำให้นักขุดควบคุมเครือข่าย Bitcoin ได้ แต่โอกาสที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นน้อยมาก ประมาณว่าการโจมตี 51% จะมีต้นทุนหลายพันล้านดอลลาร์

ตรวจสอบเครือข่าย

และถึงอย่างนั้น การใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้เพื่อควบคุมเครือข่าย Bitcoin เพียง 10 นาที ก็ได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะบล็อกธุรกรรมถัดไปจะกลับสู่ภาวะปกติ และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ผู้โจมตีทำก็จะถูกลบออกจากเครือข่าย Bitcoin

สร้างแรงจูงใจให้ทำตัวซื่อสัตย์

อีกหนึ่งลักษณะสำคัญของ Proof of Work คือโหมดการจูงใจ ดังที่เราได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า นักขุดจะได้รับรางวัล 6.25 BTC เมื่อขุดบล็อก Bitcoin สำเร็จ แต่นักขุดต้องลงทุนทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อทำให้สำเร็จ นอกจากอุปกรณ์ขุดราคาแพงแล้ว ต้นทุนที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือการใช้พลังงานไฟฟ้า

ตามข้อมูลของ U.S. Energy Information Administration การขุด Bitcoin คิดเป็นสัดส่วน 0.9% ของการใช้พลังงานทั่วโลก แล้วสิ่งนี้ช่วยรักษาความปลอดภัยของระบบ Proof of Work ได้อย่างไร? ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ นักขุดต้องเสี่ยง พวกเขาต้องลงทุนทุนมหาศาลไปกับอุปกรณ์และพลังงาน จึงมีแรงจูงใจทางการเงินที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่าย

หาก Bitcoin เสื่อมความน่าเชื่อถือเพราะเครือข่ายไม่ปลอดภัย มูลค่าของมันก็จะฟองสบู่แตก ทำให้นักขุดต้องขาดทุนอย่างหนัก เพราะการขุด Bitcoin จะไม่คุ้มอีกต่อไป ดังนั้น นักขุดจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตี 51% และทำให้ธุรกรรม Bitcoin ทั้งหมดถูกต้องชอบธรรม

ข้อเสียของ Proof of Work


เหมือนกับกลไกฉันทามติบล็อกเชนอื่นๆ Proof of Work ก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ไฟฟ้า Bitcoin นั้นสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก จึงหยุดรับการชำระเงินด้วย Bitcoin

นอกจากนี้ การขุด Bitcoin ยังเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่มีทรัพยากรมากที่สุดด้วย เพียงแค่ซื้อ ASIC ที่แพงกว่า ก็จะสร้างพลังคำนวณที่สูงกว่าคู่แข่งได้แล้ว

มาพิจารณาข้อเสียของ Proof of Work อย่างละเอียดกัน

การใช้พลังงานสูง

การใช้พลังงานสูงคือหนึ่งในข้อเสียหลักของ Proof of Work บางการประมาณระบุว่าการขุด Bitcoin ใช้พลังงานต่อปีเท่ากับทั้งประเทศอาร์เจนตินา

นี่เป็นปัญหาในโลกที่กำลังปรับเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงพลังงานหมุนเวียน ตราบใดที่ Bitcoin ยังเป็นเครือข่าย Proof of Work ปัญหาการใช้พลังงานสูงเช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไป

การรวมศูนย์ของกิจกรรมการขุด

แม้ Bitcoin จะเป็นเครือข่ายแบบกระจายอำนาจ แต่การขุดได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีการรวมศูนย์ นี่แตกต่างจากยุคแรกๆ ของ Bitcoin อย่างมาก ที่ใครก็ขุดที่บ้านได้ เพียงมี CPU หรือ GPU ก็พอ ซึ่งทำให้กระบวนการขุดมีความยุติธรรมและมีส่วนร่วมมากกว่า

แต่ปัจจุบัน การขุดได้กลายเป็น “การแข่งขันด้านอาวุธ” อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่มีทรัพยากรทางการเงินมากที่สุดจะครอบงำวงการ เพราะยิ่งมีอุปกรณ์ ASIC มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังการคำนวณมากขึ้นเท่านั้น ทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการขุดรางวัลบล็อค

ขยายขนาดได้จำกัด

Proof of Work ยังจำกัดประสิทธิภาพของ Bitcoin โดยเฉพาะด้านการขยายขนาด แม้กระทั่งทุกวันนี้ Bitcoin ยังรองรับการทำธุรกรรมได้เพียง 7 รายการต่อวินาที (TPS) เทียบกับ Visa ที่รองรับได้ถึง 65,000 TPS

นี่เป็นเพราะความซับซ้อนของปริศนาขุดแต่ละอัน ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้เวลา 10 นาทีในการแก้ไข เมื่อเครือข่าย Bitcoin มีการใช้งานหนาแน่นขึ้น ก็ทำให้เกิดการติดขัด ส่งผลให้ต้องรอนานขึ้นและค่าธรรมเนียมสูงขึ้น

การประยุกต์ใช้ PoW ในโลกจริง

แม้ว่า Proof of Work จะมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แต่ผู้นำมาใช้งานมากที่สุดคือ Bitcoin กว่า 15 ปีแล้วที่ Proof of Work ช่วยรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของเครือข่าย Bitcoin ทำให้ Bitcoin เติบโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีมูลค่าเกินหนึ่งล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี 2021

นอกจากนี้ คริปโตเคอเรนซีอื่นๆ บางส่วน ก็ใช้ระบบ Proof of Work ด้วย โดยเหรียญที่น่าลงทุนที่สุดและเป็นเหรียญ POW วันนี้ เช่น Dogecoin, Litecoin และ Bitcoin Cash ส่วน Ethereum เหรียญที่ใหญ่เป็นอันดับสองตามมูลค่าทางการตลาด ก็เคยใช้ Proof of Work มาก่อนเช่นกันอย่างไรก็ตาม Ethereum ได้อัปเกรดเป็นกลไก Proof of Stake ไปแล้วในปี 2022 ทำให้ลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 99% ในอนาคต Proof of Stake จะช่วยให้ Ethereum ขยายขนาดได้ดีขึ้นด้วย โดยมีเป้าหมายระยะยาวถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที ทำให้เหรียญ PoW อนาคตอาจจะน้อยลงเรื่อยๆ

Proof of Work ยังถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายนอกวงการคริปโตด้วย ถึงแม้จะมีความซับซ้อนไม่เท่ากับการขุด Bitcoin ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น Proof of Work ถูกใช้โดยเว็บไซต์ต่างๆ ในการป้องกันสแปม โดยบังคับให้ผู้ใช้แก้ปริศนาพื้นฐานก่อนที่จะอนุญาตให้เข้าถึงได้ ในทำนองเดียวกัน Proof of Work ยังถูกใช้ในการป้องกันการโจมตีแบบ denial-of-service ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทุกคน

Proof of Stake จะมาแทนที่ Proof of Work หรือไม่?


มาดูการถกเถียงระหว่าง Proof of Work และ Proof of Stake กัน

โดยสรุป คริปโตเคอเรนซีส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้กลไก Proof of Stake เพราะส่วนใหญ่ทำงานบน Ethereum บล็อกเชน ดังนั้นโดยอัตโนมัติ พวกเขาจึงรับ Proof of Stake เช่นกัน ไม่รวม Ethereum-based projects แล้ว เหรียญ Proof of Stake ที่ดีที่สุดบางเหรียญได้แก่ Solana, Cardano, Polygon และ Toncoin

สำคัญคือ Proof of Stake นั้นขยายขนาดได้มากกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า และประหยัดพลังงานกว่า Proof of Work ดังนั้นคำถามคือ ทำไม Bitcoin ถึงไม่อัปเกรดเป็น Proof of Stake? ท้ายที่สุดแล้ว Proof of Work ฝังรากลึกอยู่ในอุดมการณ์ของ Bitcoin แล้ว จึงต้องใช้ฉันทามติจำนวนมากเพื่อให้ Bitcoin พิจารณาเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบ

แน่นอนว่า การทำธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาถึง 10 นาทีนั้นช้าเกินไปสำหรับการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียม Bitcoin ก็สูง ทำให้เครือข่ายไม่เหมาะสำหรับธุรกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม Bitcoin ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่าเหมือนทองคำ ดังนั้นความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่ Proof of Work ให้จึงยังคงอยู่ต่อไป

สรุป


เราได้อธิบายทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Proof of Work ไปแล้ว โดยรวมแล้ว กลไก Proof of Work ช่วยรักษาความปลอดภัยและการกระจายอำนาจของ Bitcoin ทำให้ธุรกรรมได้รับการยืนยันและอนุมัติโดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม

อย่างไรก็ตาม Proof of Work ก็ใช้พลังงานสูง โดยมีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพียงเพื่อขุด Bitcoin นอกจากนี้มันยังไม่สามารถขยายขนาดได้เหมือนกับคู่แข่ง Proof of Stake

ข้อมูลอ้างอิง

คำถามที่พบบ่อย

PoW หมายถึงอะไร?

PoW ย่อมาจาก Proof of Work เป็นกลไกฉันทามติที่ทำให้ Bitcoin มีการกระจายอำนาจและปลอดภัย

PoW กับ PoS ต่างกันอย่างไร?

Proof of Work ต้องการให้นักขุดแก้ปริศนาที่ซับซ้อนเมื่อยืนยันธุรกรรม ส่วน Proof of Stake จะตรวจสอบธุรกรรมโดยการล็อคคริปโตเคอเรนซีเป็นหลักประกัน กลไกบล็อกเชนทั้งสองต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

บล็อกเชนใดบ้างที่ใช้ PoW?

บล็อกเชนที่ใช้ Proof of Work (PoW) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบางส่วนได้แก่ เหรียญ Proof of Work ที่ดีที่สุดอย่าง Bitcoin ตามมาด้วย Dogecoin, Bitcoin Cash และ Litecoin แต่ละบล็อกเชนจะใช้รูปแบบ PoW ที่แตกต่างกันไป

ข้อดีของ Proof of Work คืออะไร?

ข้อดีของ Proof of Work ได้แก่ ความปลอดภัยสูง การกระจายอำนาจ และแรงจูงใจทางการเงินสำหรับผู้ที่รักษาความปลอดภัยของเครือข่าย อย่างไรก็ตาม Proof of Work ก็ใช้พลังงานสูงด้วย