Cryptocurrency คืออะไร?

ภาคภูมิ เกิดปราบ
| 36 min read

Cryptocurrency คืออะไร?

คริปโตคือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำหน้าที่เป็นเงิน แสดงมูลค่า หรือนำเสนอยูทิลิตี้บนบล็อกเชน ในคู่มือนี้ เราจะเจาะลึกคำถามว่า “Cryptocurrency คืออะไร?”นอกจากนี้เราจะอธิบายเรื่อง Blockchain วิธีการทำงานของคริปโทเคอร์เรนซี กระดานแลกเปลี่ยนคริปโต และวิธีใช้เหรียญ เรามาเริ่มที่พื้นเพของคริปโตกันก่อนเลย

ประเภทของสกุลเงินดิจิทัล มีอะไรบ้าง


Bitcoin ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงของคริปโตในปี 2009 ซึ่งเปิดตัวโดยบุคคลหรือทีมงานนิรนามในชื่อ Satoshi Nakamoto

สกุลเงินดิจิทัล

ปัจจุบัน Bitcoin เป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และมักถูกมองว่าเป็นทองคำดิจิทัลด้วยอุปทานที่จำกัด โดยมีเพียง 21 ล้าน Bitcoin เท่านั้น

เมื่อเวลาผ่านไป โปรเจกต์คริปโตใหม่ๆ ก็ได้เปิดตัว บางโปรเจกต์มีเป้าหมายในการทำธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น และโปรเจกต์อื่นๆ ก็มีเป้าหมายในการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ ให้กับเครือข่าย Blockchain

Litecoin เปิดตัวในปี 2011 ในฐานะการอัพเกรด Fork ของ Bitcoin ซึ่งใช้โค้ด Bitcoin ที่ถูกดัดแปลง เหรียญสามารถประมวลผลธุรกรรมในเวลาเพียงหนึ่งในสี่ของเครือข่าย Bitcoin

Ethereum

จากนั้นในปี 2015 เครือข่าย Ethereum ก็ได้เปิดตัว โดยนำความสามารถด้านการเขียนโปรแกรมอันทรงพลังมาสู่โลกแห่งคริปโต และนำไปสู่โปรแกรมที่ทำงานบน Blockchain ที่เรียกกันว่าสัญญาอัจฉริยะ

ปัจจุบันมีเหรียญนับหมื่นสกุล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหรียญที่ทำงานบนเครือข่าย Blockchain ในปัจจุบัน ซึ่งทางเครือข่ายไม่จำเป็นต้องใช้งานเหรียญเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น Ether (ETH) ที่ขับเคลื่อนเครือข่าย Ethereum โดยคุณสามารถส่ง ETH ให้กับคนอื่นได้ และจะมีการชำระค่าธรรมเนียมเครือข่ายจากการทำธุรกรรมเป็น ETH ด้วยเช่นกัน

การทำธุรกรรมด้วยสัญญาอัจฉริยะยังต้องเสีย ETH ซึ่งทำให้ ETH เป็นทั้งตัวเก็บมูลค่าและเป็น Utility Token สำหรับ Ethereum Blockchain ในทางตรงกันข้าม PEPE ซึ่งเป็นเหรียญยอดนิยมซึ่งมี Pepe the Frog เป็นมาสคอต ไม่มียูทิลิตี้ใดๆ บนเครือข่าย Ethereum ที่เหรียญทำงาน PEPE ถือเป็นเหรียญมีม ซึ่งเครือข่ายก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหรียญนี้นั่นเอง

เหรียญดิจิตอลชั้นนำ

แม้ว่าเหรียญจะมีอยู่หลายพันสกุล แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถรอดได้ในตลาด โปรเจกต์ชั้นนำมีมูลค่าโดยรวมที่สูงขึ้น โดยลำดับจะเปลี่ยนไปเมื่อการยอมรับเหรียญในตลาดเปลี่ยนแปลงไปCryptocurrency ชั้นนำเหล่านี้คือเหรียญตามมูลค่าตลาดในปัจจุบัน (มูลค่าตลาดรวม):

  • Bitcoin (BTC)
  • Ethereum (ETH)
  • Tether (USDT)
  • BNB (BNB)
  • Ripple (XRP)
  • Solana (SOL)
  • US Dollar Coin (USDC)
  • Cardano (ADA)
  • Dogecoin (DOGE)
  • Avalanche (AVAX)

จากเหรียญสิบอันดับแรกในปัจจุบันตามมูลค่าตลาด มีสองเหรียญ (USDT และ USDC) ที่เป็น Stablecoin ซึ่งหมายถึงเหรียญที่ผูกกับสกุลเงินอื่น ซึ่งก็คือสกุลเงินดอลลาร์ สินทรัพย์ทั้งสองให้การสนับสนุนเงินดอลลาร์หรือสินทรัพย์ที่เทียบเท่าเพื่อรักษาราคาไว้ที่ 1 ดอลลาร์นั่นเองเหรียญอื่นๆ ที่ระบุไว้ข้างต้นจะใช้ขับเคลื่อนเครือข่ายของตน

ซึ่งหมายความว่าเหรียญจะใช้เพื่อชำระค่าธุรกรรมบนเครือข่าย ยูทิลิตี้นี้ยังให้คุณค่าแก่เหรียญเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครือข่ายที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น Bitcoin และ Ethereumมูลค่าของคริปโตไม่ได้คงที่ แต่ตลาดจะกำหนดมูลค่าแทน

สกุลเงินดิจิตอลทำงานอย่างไร?


เมื่อใช้เหรียญเป็นสกุลเงิน ตัวเหรียญจะทำงานเหมือนกับสกุลเงินทั่วไปในขั้นพื้นฐาน เช่น กลุ่มส่งต่อมูลค่า โดยเฟียตหมายถึงเงินทั่วไปหรือเงินกระดาษ เช่น USD หรือ GBP

เงินเฟียตคือคำสั่งหรือกฤษฎีกา ดังนั้น เงินดังกล่าวเป็นเงินได้เพราะรัฐบาลบอกว่าเป็น

ในทางกลับกัน Cryptocurrency คือเหรียญที่มีมูลค่าได้จากตลาด ตลาดการเทรดจะกำหนดมูลค่าของสินทรัพย์คริปโตนั้นๆ

คุณสามารถส่งเหรียญไปยังโบรกเกอร์เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ หรือส่งเหรียญเพื่อชำระหนี้ เป็นต้น

เรามาดูธุรกรรม Bitcoin ง่ายๆ ที่เกิดขึ้นจริงในวัน Pizza Day กันบ้าง

ในช่วงต้นของ Bitcoin Laszlo Hanyecz ใช้ 10,000 Bitcoin เพื่อจ่ายค่าพิซซ่าของ Papa John สองถาด ในตอนนั้น 10,000 Bitcoin ถือเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว ปัจจุบัน 10,000 Bitcoin ที่จ่ายไปนั้นมีมูลค่าประมาณ 440 ล้านดอลลาร์ หรือน้อยกว่า 20% ของมูลค่าตลาดหุ้นรวมในปัจจุบันของ Papa John’s (PZZA) เท่านั้น

Laszlo Hanyecz ขุดเหรียญด้วย CPU (และไฟฟ้า) เพื่อช่วยตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ซึ่งจะได้รับเหรียญเป็นรางวัลการขุดสำหรับบล็อกที่เพิ่มลงในเครือข่ายสำเร็จ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขุดจะอธิบายในภายหลัง

จากนั้น นาย Laszlo ก็ส่งเหรียญจาก Crypto Wallet ไปอีกที่เพื่อชำระค่าธุรกรรมสำหรับพิซซ่าสองถาด บนเครือข่ายดังกล่าว การส่ง Bitcoin จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมธุรกรรมหรือค่าธรรมเนียมเครือข่าย ซึ่งจะถูกจ่ายให้กับคนขุดเหรียญอย่าง Laszlo Hanyecz นั่นเอง

ธนาคารและบริการชำระเงินยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยเช่นกัน

ความแตกต่างในกรณีนี้คือเครือข่ายคริปโตจะมีวิธีส่งต่อมูลค่าจาก A ไปยัง B โดยไม่ต้องมีคนกลาง ไม่ต้องมีธนาคารหรือบริการชำระเงินที่จะบอกว่าคุณสามารถทำธุรกรรมได้หรือไม่ โดยทั่วไป เครือข่ายคริปโตทำงานเพื่อป้องกันการจ่ายเงินซ้ำซ้อน แทนที่จะคำนึงถึงวัตถุประสงค์ ภูมิปัญญา คุณธรรม หรือความถูกต้องของการทำธุรกรรม

เช่นเดียวกับเงินอื่นๆ Cryptocurrency คือเหรียญที่ทำหน้าที่เป็นสกุลเงินที่ใช้แลกเปลี่ยน ตราบใดที่คนเชื่อว่าสังคมจะยอมรับเหรียญเป็นสกุลเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนในอนาคต

เหรียญคริปโตถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร?

หลายๆ เหรียญ เช่น Bitcoin มีอุปทานเพิ่มจากการขุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่เครือข่ายมอบเหรียญใหม่เป็นรางวัลสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย กระบวนการขุดต้องใช้ “การทำงาน” เนื่องจากนักขุดเหรียญต้องไขปริศนาคริปโต

ซึ่งเรียกว่าโปรโตคอล Proof of Work นั่นเองโปรโตคอลอื่นๆ ใช้ Proof of Stake, Proof of History หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อทำตามฉันทามติ ซึ่งเป็นข้อตกลงว่าธุรกรรมนั้นถูกต้อง เครือข่าย Proof of Stake ยังให้รางวัล โดยเพิ่มสกุลเงินเข้ามามากขึ้นผ่านกระบวนการฉันทามติ

  • การขุดเหรียญใช้กลไก Proof of Work เพื่อสร้างเหรียญใหม่สำหรับเครือข่ายเป็นรางวัลการขุด
  • การสร้างเหรียญหมายถึงการใช้อัลกอริธึมเพื่อสร้างเหรียญ เป็นรางวัล Staking หรือเป็นเหรียญที่ใช้บน Blockchain เช่น PEPE เป็นเหรียญที่สร้างเสร็จบนเครือข่ายอีเธอเรียม ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการขุด แต่จำนวน ETH ใหม่ๆ จะมาจากการ Staking นั่นเอง

เหรียญเช่น Bitcoin หรือ Litecoin ซึ่งไม่มีการขุดก่อนเปิดตัวซึ่งเรียกว่าเป็น “การเปิดตัวที่ยุติธรรม” ทุกคนมีโอกาสเท่ากันในการซื้อเหรียญก่อนที่เหรียญจะเป็นที่นิยม

คริปโทเคอร์เรนซีแตกต่างจากเงินเฟียตอย่างไร?

คำว่าเฟียตหรือ Fiat มาจากภาษาละตินและแปลว่า “ปล่อยให้มันทำ” หมายความว่ารัฐบาลประกาศให้สกุลเงินที่ต้องการสามารถใช้ชำระได้ตามกฎหมายเช่น สกุลเงิน Fiat Money ดอลลาร์ทำหน้าที่ได้ดังต่อไปนี้:“ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระเงินหนี้ทั้งหมดได้ตามกฎหมาย ทั้งภาครัฐและเอกชน”

Fiat money

ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นส่วนใหญ่ สกุลเงินเฟียตใช้ชำระหนี้มากกว่าเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ แม้ว่ากระบวนการนี้จะง่ายเกินไป แต่ก็ยุติธรรมที่จะบอกว่ามีการนำเงินดอลลาร์รูปแบบใหม่มาใช้เรียบร้อย

ในทางกลับกัน Cryptocurrency คือเหรียญที่ไม่ได้ใช้ชำระหนี้เท่านั้น หรือถูกประกาศว่าเป็นเงินเช่นกัน (บางประเทศได้นำ Bitcoin มาเป็นเงินที่ใช้ชำระได้ตามกฎหมาย)

ผู้คนสามารถเลือกใช้คริปโตเป็นเงิน ตัวเก็บมูลค่า การลงทุน หรือการเทรดได้

การรวมศูนย์อำนาจ vs. การกระจายอำนาจ

เงินเฟียตนั้นเป็นการรวมศูนย์อำนาจ โดยมีอุปทาน (รวมถึงมูลค่า) ถูกควบคุมโดยรัฐบาลและธนาคารกลาง เหรียญดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดส่วนใหญ่เป็นการกระจายอำนาจ โดยมีการเปลี่ยนแปลงในโปรโตคอลและการแพร่หลาย (เหรียญหรือโทเค็นเพิ่มเติม)

ที่กำหนดโดยชุมชนทั่วโลก เช่น การเปลี่ยนแปลง Bitcoin ที่ต้องใช้ในการโหวตใน Bitcoin Improvement Proposal (BIP) โดยได้รับการอนุมัติจากนักขุด 95%

อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจอาจไม่ได้ใช้กับเหรียญทั้งหมดในระดับสากล อุปทานและวิธีการตรวจสอบสำหรับ Ripple ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้นถูกกำหนดโดยบริษัทเดียว คือ Ripple Labs

เหรียญบางสกุลใช้ฉันทามติแบบกระจายอำนาจ (ข้อตกลงด้านธุรกรรม) ในขณะที่ด้านอื่นๆ ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยกลุ่มแบบรวมศูนย์อำนาจ บ่อยครั้งที่มีการเปลี่ยนจากการรวมศูนย์ไปเป็นการกระจายอำนาจ โดย Cardano ถือเป็นตัวอย่างที่ใช้เครือขายแบบรวมศูนย์อำนาจ แต่ก็เปลี่ยนไปเป็นการกระจายอำนาจแทน

Blockchain คืออะไร?


อธิบายง่ายๆ ได้ว่าเทคโนโลยี Blockchain คือบัญชีแยกประเภท ซึ่งเป็นบันทึกธุรกรรม และได้ชื่อมาจากโครงสร้างการทำงานของเทคโนโลยี

    • ธุรกรรมจะถูกจัดกลุ่มเป็นบล็อกโดยผู้ขุดหรือผู้ตรวจสอบโหนด
    • แต่ละบล็อกใช้อ้างอิงบล็อกก่อนหน้าหรือบล็อกหลักโดยใช้ Cryptographic Hash
  • บล็อกที่เชื่อมต่อกันเหล่านี้ก่อตัวกันเป็นเชน

เนื่องจากแต่ละบล็อกอ้างอิงถึงบล็อกก่อนหน้าหรือบล็อกหลัก ธุรกรรมในบล็อกเชนจึงยากต่อการเปลี่ยนแปลง

Blockchain

หากธนาคารหรือบริษัทต้องการกลับรายการธุรกรรมในรูปแบบดั้งเดิม ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยการเปลี่ยนค่าในฐานข้อมูล กลับกัน เครือข่ายคริปโตจะรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมโดยการสร้างเชนที่ป้องกันไม่ให้ธุรกรรมก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ

ความ (เกือบ) ถาวรแบบนี้เรียกว่าการไม่เปลี่ยนรูป และถึงแม้จะเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกรรม แต่การทำแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน ธุรกรรมภายในบล็อกจะถาวรมากขึ้นเมื่อมีบล็อกถูกเพิ่มลงในเชน

ตัวอย่างเช่น เครือข่าย Bitcoin ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมก่อนหน้านี้จะสูงกว่าผลประโยชน์ที่อาจได้รับ ในการเปลี่ยนแปลงธุรกรรม คุณจะต้องขุดทุกบล็อกใหม่หลังบล็อกที่เก็บธุรกรรมที่ต้องการเปลี่ยน และคุณจะต้องดำเนินการก่อนที่เครือข่ายที่เหลือจะสามารถขุดบล็อกใหม่ที่ถูกต้องได้ (Bitcoin เลือกใช้เชนที่ยาวที่สุดของบล็อก)

หลังจากยืนยันหกบล็อกแล้ว ธุรกรรม Bitcoin จะถือเป็นที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ด้านการใช้จริง ธุรกรรมขนาดเล็กจะคงอยู่ถาวรหลังจากการยืนยันหนึ่งครั้ง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการขุดบล็อกใหม่

เครือข่าย Bitcoin ใช้กลไก Proof of Work เพื่อรักษาความปลอดภัย Blockchain ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนถัดไป

Proof of Work vs. Proof of Stake


เพื่อให้บัญชีแยกประเภทเชื่อถือได้ (และเพื่อให้คริปโตมีมูลค่า) จะต้องมีวิธีในการเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมนั้นถูกต้อง สำหรับการเงินแบบดั้งเดิม ธนาคารและสถาบันมักเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย แต่ Blockchain คริปโตจะใช้อีกแนวทาง

โดยเครือข่ายจะต้องได้รับฉันทามติและต้องมีวิธีการรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมเพื่อทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธุรกรรมได้

โดยฉันทามติที่พบบ่อยที่สุดคือ Proof of Work (PoW) และ Proof of Stake (PoS)

Proof of Work

คอนเซ็ปต์ Proof of Stake นั้นต้องย้อนไปที่เอกสารข้อมูลเมื่อปี 2002 ที่เขียนโดย Adam Back ซึ่งให้รายละเอียดในวิธีการจำกัดสแปมอีเมลและ DDoS โดยต้องใช้ “พลังงาน” ของ CPU เพียงเล็กน้อยในการแก้ปัญหาการเข้ารหัส

Satoshi ได้นำแนวคิดมาใช้ใน Bitcoin โดยทำให้นักขุดคาดเดาค่าแฮชที่ถูกต้องเพื่อเพิ่มบล็อกใหม่ให้กับ Blockchain เวลาและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขุดทำให้การเปลี่ยนธุรกรรมบน Bitcoin มีค่าใช้จ่ายสูง

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ท้อใจ

อีกด้านคือเงินที่ใช้เป็นสิ่งจูงใจ: นักขุดสามารถรับ Bitcoin โดยการกำกับพลังการขุดเพื่อขุดบล็อกใหม่และรับรางวัลการขุด

หลายคนยังถือว่า Proof of Work เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการรักษาความปลอดภัยบน Blockchain เครือข่ายที่มีชื่อเสียง เช่น Bitcoin, Litecoin, Dogecoin, Bitcoin Cash, Ethereum Classic และ Monero ต่างก็ใช้กลไกดังกล่าว

Proof of Stake

PoW ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยทั่วไปว่าใช้พลังงานสูง จึงทำให้มีอีกทางเลือกคือ Proof of Stake ซึ่งกลายมาเป็นตัวเลือกยอดนิยมและประหยัดพลังงาน ใช้งานครั้งแรกโดย Peercoin ซึ่งใช้ทั้ง PoW และ PoS โดย Proof of Stake จะกำหนดให้ผู้ตรวจสอบความถูกต้องต้องวางหลักประกัน

หลักประกันนี้ทำให้มีค่าจากการ Staking หากผู้ตรวจสอบเครือข่ายละเมิดโปรโตคอล (กฎ) ผู้ตรวจสอบคนอาจถูกหักอัตราการ Staking ซึ่งหมายความว่าเหรียญที่นำไป Stake ทั้งหมดหรือบางส่วนจะสามารถถูกยึดจากผู้ตรวจสอบได้

ผู้ตรวจสอบจะทำหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายที่ใช้ซอฟต์แวร์พิเศษเพื่อให้การทำธุรกรรมถูกต้อง และโหนดตรวจสอบอื่นๆ จะเป็นไปตามโปรโตคอล

เครือข่าย Proof of Stake มักจะมีข้อกำหนดในการ Staking ขั้นต่ำสำหรับผู้ตรวจสอบแต่ละราย แต่เครือข่ายเหล่านี้อาจเสนอกลไก Delegated Proof of Stake (DPoS) ซึ่งทำให้ผู้ที่มีเงินน้อยกว่าสามารถร่วมทีมและ Stake กับผู้ตรวจสอบที่มีคุณสมบัติตามกำหนดได้

อาจมีการใช้วิธีฉันทามติอื่นๆ ได้เช่นกัน อาทิ:

  • PoH: Proof of History
  • PoET: Proof of Elapsed Time
  • PoC: Proof of Capacity

บทบาทของฉันทามติในวงการ Cryptocurrency มีกี่ประเภท

ฉันทามติ (ข้อตกลงระหว่างโหนด) ใน Blockchain คริปโตทำให้เราสามารถทำธุรกรรมโดยไม่ต้องไว้วางใจตัวกลาง ซึ่งหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องเชื่อธนาคาร สถาบัน หรือบุคคลที่สามในการติดตามยอดคงเหลือและตรวจสอบธุรกรรม ทุกอย่างที่จำเป็นจะสามารถตรวจสอบได้ผ่าน Crypto Wallet และ Blockchain Explorer สำหรับ Bitcoin, Ethereum หรือเครือข่ายใดก็ตามที่คุณใช้งาน

กลไกฉันทามติช่วยให้มั่นใจได้ว่าโหนดทั้งหมดเห็นด้วยกับสถานะของบัญชีแยกประเภท Blockchain และธุรกรรมทั้งหมดนั้นถูกต้อง

ในฐานะผู้ใช้ ฉันทามติช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมถูกต้อง และเราสามารถเลือกเครือข่ายคริปโตตามความปลอดภัยของกลไกฉันทามติต่างๆ ได้

บางส่วนอาจมั่นใจมากขึ้นเมื่อใช้เครือข่าย PoW และบ้างก็เลือกใช้ PoS หรือฉันทามติอื่นๆ ไม่ว่ายังไง เราไม่จำเป็นต้องเชื่อถือหน่วยงานอื่นที่อาจไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา แต่เราจะเชื่อถือในตัวกระบวนการละสามารถตรวจสอบผลลัพธ์บนบล็อกเชนสาธารณะได้แทนนั่นเอง

วิธีรับ Cryptocurrency คืออะไร?


วิธีหลักในการรับ Cryptocurrency คือสามวิธีด้วยกัน เราสามารถอธิบายได้ดังนี้

การขุดเหรียญ

Bitcoin เหรียญแรกถูกขุดด้วย CPU คอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับ Litecoins, Dogecoins และโปรเจกต์ใหม่ๆ เช่น Kaspa และ Zephyr เริ่มแรกอีเธอเรียมก็ถูกขุดเช่นกัน โดยเชน Ethereum ดั้งเดิมมีชื่อ Ethereum Classic ซึ่งยังคงขุดได้โดยด้วยกลไก PoW

มีเฉพาะเหรียญ Proof of Work เท่านั้นที่สามารถขุดได้ อัลกอริธึมการขุดจะปรับตามความยากเมื่อพลังแฮชเพิ่มขึ้นพร้อมกับการนักขุดที่มากขึ้นหรือมีประสิทธิภาพขึ้น เมื่อความยากในการขุดเพิ่มขึ้น ก็จะต้องใช้เครื่องขุดเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบัน Bitcoin ไม่สามารถขุดผ่าน CPU หรือแม้แต่การ์ดจอระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เพราะอุตสาหกรรมการขุด Bitcoin ถูกครอบงำโดยฮาร์ดแวร์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องขุด ASIC แทน

เหรียญขนาดเล็ก เช่น Kaspa, Monero, Zephyr และอื่นๆ ยังคงสามารถขุดได้ด้วย CPU หรือการ์ดจอ แต่การซื้อเหรียญเหล่านี้จากกระดานแลกเปลี่ยนเมื่อราคาลงมักจะเป็นประโยชน์มากกว่า

การรับเหรียญ

คุณสามารถสะสมเหรียญได้หลายวิธีผ่านการรับเหรียญ ในหลายๆ กรณี คุณจะต้องมีคริปโตอยู่ก่อนแล้วจึงจะนำไปใช้เพื่อรับเหรียญเพิ่มได้

  • Staking: เครือข่าย Proof of Stake เช่น Ethereum และ Solana เปิดโอกาสให้คุณสามารถ “Stake” เหรียญเพื่อรับรางวัลจากการ Staking บ่อยครั้งที่รางวัลจาก Staking สามารถให้ผลตอบแทน 3% ต่อปีหรือมากกว่า
  • Yield Farming: สัญญาอัจฉริยะปูทางให้กับการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) โดยแอพ dApp ยอดนิยมเช่น Aave เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้รับผลตอบแทนจากการให้กู้ยืมเหรียญ โดย GMX อีกหนึ่งแอพ DeFi ที่เป็นที่รู้จัก เปิดโอกาสให้คุณได้ทำกำไร (หรือขาดทุน) บนDecentralized Exchange ซึ่งจะใช้จ่ายเป็นคริปโต
  • Play to Earn: เกมคริปโต เช่น Axie Infinity และ The Sandbox นำเสนอวิธีในการรับเหรียญภายในเกม
  • บัตรรางวัลคริปโต: บัตรรางวัลคริปโตจำนวนหนึ่ง เช่น บัตรจาก Coinbase หรือ Gemini เปิดโอกาสให้คุณได้รับ “เงินคืน” เป็นคริปโตเมื่อซื้อ
  • ทำงานเพื่อรับคริปโต: แพลตฟอร์มฟรีแลนซ์อาจเสนอวิธีรับเหรียญสำหรับงานที่คุณทำ โดยอีกหนึ่งทางเลือกอย่างแอพชำระเงิน เช่น Cash App, Strike และ Venmo เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถชำระเงินด้วยคริปโตระหว่างผู้ใช้ได้

การซื้อเหรียญ

บ่อยครั้งที่การซื้อเหรียญด้วยเงินเฟียตเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการซื้อในส่วนถัดไป เราจะพูดถึงแพลตฟอร์มสำหรับซื้อเหรียญที่ดีที่สุด

แพลตฟอร์มซื้อ Cryptocurrency คืออะไร?


วิธีในการซื้อคริปโตด้วยทั่วไปคือการใช้กระดานเทรดคริปโต เช่น Coinbase ซึ่งคุณสามารถซื้อเหรียญด้วย USD, GBP และสกุลเงินที่รองรับ โดยกระดานแลกเปลี่ยนครั้งแรกเปิดตัวในปี 2010 ตอนที่ตลาด Bitcoin เปิดตัว กระดานแลกเปลี่ยนมากมายในปัจจุบันก็มีอายุประมาณนั้นเช่นกัน โดย Coinbase เปิดตัวในปี 2012 ส่วน Kraken และ Bitstamp เปิดตัวในปี 2011

  • Centralized Exchange: Centralized Exchange (CEX) ให้บริการโดยบริษัท และส่วนใหญ่ต้องยืนยันตัวตน อาทิเช่น Coinbase และ Kraken ซึ่งรองรับการซื้อขายด้วยเงินเฟียตสำหรับคริปโตและจัดเก็บเหรียญเอาไว้ใน Custodial Wallet จนกว่าคุณจะถอนเหรียญออกไป
  • Decentralized Exchange: Decentralized Exchange (DEX) ดำเนินการโดยซอฟต์แวร์ โดยนักพัฒนาสัญญาอัจฉริยะเปิดตัวแอพบน Blockchain ที่ให้คุณเทรดคริปโตเป็นอีกเหรียญหรือเติมเงินลงในบัญชีด้วยเงินเฟียตผ่านช่องทางชำระเงินอื่น โดยกระดานเทรด DEX ยอดนิยม ได้แก่ Uniswap และ Pancakeswap
  • โบรกเกอร์: เช่นเดียวกับ Centralized Exchange โบรกเกอร์จะให้คุณซื้อคริปโตด้วยสกุลเงินเดิม แต่จะแตกต่างตรงที่คุณกำลังซื้อหรือขายให้กับโบรกเกอร์ แทนที่จะซื้อขายโดยตรงกับเทรดเดอร์รายอื่น โดย eToro และ Robinhood ก็ถือเป็นตัวอย่างยอดนิยมในเรื่องนี้
  • แอพชำระเงิน: Cash App, PayPal, Venmo, และแอพชำระเงินอื่นๆ รองรับการเทรดเหรียญยอดนิยมแล้ว แต่บางส่วนก็รองรับเฉพาะ Bitcoin เท่านั้น
  • Crypto Wallet: Crypto Wallet เช่น MetaMask เปิดให้ซื้อคริปโตผ่านผู้ให้บริการชำระเงินอื่น เช่น MoonPay หรือ Mercuryo 
  • เครือข่ายเพียร์ทูเพียร์: แพลตฟอร์มเช่น Bisq และ HODL ซึ่งเปิดให้เทรด Bitcoin แบบเพียร์ทูเพียร์ และได้เทรดกับผู้อื่นทั่วโลก ราคาอาจแตกต่างจากราคาตลาดใน Centralized Exchange
  • ตู้ ATM Bitcoin: ในหลายๆ ประเทศ คุณสามารถซื้อ Bitcoin จากตู้ ATM ในปั๊มน้ำมันหรือร้านสะดวกซื้อได้

Cryptocurrency ปลอดภัยหรือไม่?


Cryptocurrency คือความผันผวนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนำมาซึ่งโอกาสทำกำไรและความเสี่ยง โดย Solana (SOL) ซึ่งเป็นเหรียญบนสัญญาอัจฉริยะยอดนิยม และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 9,500% ตั้งแต่เปิดตัวไปจนถึงจุด All Time High ที่ 260 ดอลลาร์

กราฟราคา SOL

หนึ่งปีต่อมา SOL ร่วงลงต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ เหรียญเหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยงด้านราคา

แต่ยังมีข้อควรพิจารณาด้านความปลอดภัยอื่นๆ เช่นกัน รวมถึงวิธีลดความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงด้านราคา: เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ยังมีอายุไม่นานและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างต่ำ มูลค่าคริปโตจึงมีความผันผวน เมื่อซื้อเหรียญ ให้พิจารณาการเรื่องการลงทุนแบบสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการซื้อเมื่อเวลาผ่านไปเพื่อลดผลกระทบของความผันผวนในตลาด
  • ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม: กระดานเทรดคริปโตนำเสนอวิธีในการเก็บเหรียญด้วย Custodial Wallet อย่างสะดวกสบาย แต่ยังควบคุมรหัสส่วนตัวเอาไว้ด้วยเช่นกัน หากกระดานแลกเปลี่ยนระงับการถอนเหรียญหรือล้มละลาย เหรียญของคุณก็จะตกอยู่ในความเสี่ยง ให้พิจารณาย้ายเหรียญไปเก็บไว้ใน Crypto Wallet ที่คุณเป็นควบคุมแทน โดยเราจะพูดถึงเรื่อง Crypto Wallet ในเร็วๆ นี้
  • ความเสี่ยงจากสัญญาอัจฉริยะ: สัญญาอัจฉริยะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮ็ก บั๊ก หรือโค้ดโจมตีได้เช่นกัน โปรดศึกษาโปรโตคอลอย่างรอบคอบก่อนเชื่อมต่อกับสัญญาอัจฉริยะ อย่าลืมเช็คเรื่องการตรวจสอบรหัสโดยบริษัทที่เชื่อถือได้
  • ความเสี่ยงทางการเมือง: รัฐบาลอาจทำให้กระดานแลกเปลี่ยนคริปโตเข้าถึงได้ยากหรือผิดกฎหมายได้ ในปี 2021 จีนสั่งห้ามการซื้อขายและการขุดคริปโต ทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจซื้อ
  • การ Rug Pull และละทิ้งโปรเจกต์: โปรเจกต์คริปโตที่มีศักยภาพอาจไม่ได้ไปถึงฝั่งฝันและถูกละทิ้งไปในที่สุด บางโปรเจกต์หรือโปรโตคอลอาจถูกสร้างมาเพื่อโกงด้วยซ้ำ ขอย้ำอีกครั้งว่าการตรวจสอบเหรียญอย่างรอบคอบถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ความปลอดภัยของคริปโต vs. การเงินแบบดั้งเดิม

Cryptocurrency มีความปลอดภัยกว่าสินทรัพย์แบบเดิมอย่างมากด้วยความโปร่งใส โค้ดสำหรับสัญญาอัจฉริยะมักจะเปิดให้ตรวจสอบแบบสาธารณะ ทำให้คอมมิวนิตี้มีวิธีในการระบุปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆ การตรวจสอบโค้ดยังเน้นย้ำให้เห็นถึงฟีเจอร์และความเสี่ยงของสัญญาอัจฉริยะอีกด้วย

หลายเหรียญยังจำกัดอุปทานอีกด้วย โดยบิทคอยน์ถูกจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ส่วน Ethereum (Ether) นั้นไม่ได้ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด แต่โปรโตคอลเผาค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทิ้ง ส่งผลให้ ETH มีอุปทานลดลง เมื่อพิจารณาจากสภาวะตลาดในปัจจุบัน

ตรงกันข้าม สกุลเงินเดิมเช่น USD มักจะมีอุปทานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น M2 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณเงินของสหรัฐฯ มีอุปทานเพิ่มขึ้น 155% ในช่วงสิบปีหลังจากการเปิดตัว Bitcoin และช่วงเดียวกัน มูลค่าของ Bitcoin ก็เพิ่มขึ้นจากไม่ถึงดอลลาร์เป็นมากกว่า 3,800 ดอลลาร์เลยทีเดียว

หลายประเทศกำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจากเงินเฟียต Venezuela ประสบภาวะเงินเฟ้อกว่า 400% ในปี 2023  เมื่อมูลค่าของโบลิวาร์เวเนซุเอลาทรุดตัวลง

เก็บคริปโตเคอเรนซี่ได้ที่ไหน?


นักลงทุนคริปโตรายใหม่ส่วนใหญ่จะเก็บเหรียญไว้ในกระดานแลกเปลี่ยนที่ซื้อเหรียญเอาไว้ ซึ่งกระดานเหล่านี้จะใช้การเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์หรือ Cold Storage แม้ว่านี่จะเป็นระบบที่สะดวก แต่ก็หมายความว่ากระดานแลกเปลี่ยนจะเก็บรหัสส่วนตัวที่ใช้ควบคุมทรัพย์สินของคุณเอาไว้

ระหว่างปี 2011 ถึง 2014 มีรายงานว่าแฮกเกอร์ดูดฝากเงินนับพันเหรียญจากกระดาน Mt. Gox และเมื่อไม่นาน ซีอีโอของกระดานแลกเปลี่ยน FTX ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินฝากของลูกค้า (หรือทำให้สูญเสีย) ในการซื้อขายอื่นที่มีความเสี่ยง

ตัวกระดานแลกเปลี่ยนเองอาจเป็นความเสี่ยง แต่ก็มีความเสี่ยงที่บุคคลอื่นสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้เช่นกัน ซึ่งมักพบได้ในธนาคารออนไลน์

เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาเหรียญของตน คุณก็สามารถใช้ Crypto Wallet ที่ถือรหัสส่วนตัวที่ใช้ควบคุมเหรียญของคุณเอาไว้เช่นกัน

MetaMask

  • Hot Wallet เช่น MetaMask สำหรับ Ethereum หรือ Electrum สำหรับ Bitcoin ล้วนสร้างและเก็บรหัสส่วนตัวบนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ โดยทำงานเป็นแอพคอมพิวเตอร์หรือมือถือ
  • Cold Wallet ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่จะจัดเก็บรหัสส่วนตัวแต่ไม่จ้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือมือถือเพื่ออนุญาตหรือปฏิเสธการทำธุรกรรม ตัวเลือกยอดนิยม ได้แก่ Trezor และ Ledger

วิธีใช้ Cryptocurrency คืออะไร?


ในหลายกรณี Cryptocurrency คือเหรียญที่ทำหน้าที่เป็น Utility Token บนเครือข่าย โดย ETH และ SOL ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะโทเค็นทั้งสองใช้เป็น “ค่าแก๊ส” เพื่อขับเคลื่อนธุรกรรม รวมถึงสัญญาอัจฉริยะ ความต้องการนี้สามารถทำให้เหรียญมีมูลค่าได้ ส่วนเหรียญสกุลอื่น เช่น Bitcoin ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนเงินต่อไปนี้คือวิธีใช้ Cryptocurrency:

  • ใช้เหรียญแทนเงิน: ร้านค้ามากมายตั้งแต่ Newegg ไปจนถึง Burger King ยอมรับคริปโต นอกจากนี้ บัตรเดบิตคริปโตเช่น บัตร Coinbase หรือบัตร BitPay ยังเปิดโอกาสให้คุณใช้เหรียญได้เหมือนเงินสดอีกด้วย
  • ส่วนหนึ่งของการลงทุน: บางเหรียญสามารถลงทุนเพื่อทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น Chainlink ซึ่งเป็นบริษัทที่วางแผนจะเชื่อมต่อ Blockchain ส่วนตัวและสาธารณะเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะทำให้สินทรัพย์ในโลกจริงพร้อมใช้งานได้ทุกที่ในรูปแบบโทเค็น ส่วนเหรียญของบริษัทอย่าง LINK ก็ถูกมองว่าเป็นการลงทุนมากกว่าสกุลเงินอีกด้วย
  • รับผลตอบแทน DeFi: โปรโตคอล DeFi เช่น Aave และ Radiant นำเสนอวิธีการสร้างรายได้โดยการกู้ยืมเหรียญโดยไม่ต้องมีคนกลาง กระบวนการทั้งหมดขับเคลื่อนโดยสัญญาอัจฉริยะ
  • รับรางวัล Staking: ด้วย Stake เหรียญของคุณ เช่น ETH หรือ SOL คุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารส่วนใหญ่อย่างมาก
  • ธุรกรรมข้ามพรมแดน: บ่อยครั้งที่การส่ง Cryptocurrency คือวิธีที่ถูกที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับบริการชำระเงินเช่น MoneyGram หรือ Western Union
  • ตัวเก็บมูลค่า: Cryptocurrency คือตัวเก็บมูลค่าที่มีประสิทธิภาพหากคุณเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ คล้ายกับทองหรือเงิน (แต่ขนส่งได้ง่ายกว่า)
  • ธุรกรรมแบบส่วนตัว: เครือข่ายคริปโตเปิดให้คุณสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของคุณหรืออธิบายความต้องการซื้อกับสถาบันการเงินแต่อย่างใด

วิธีใช้ Cryptocurrency เพื่อซื้อสินค้าอย่างปลอดภัย


ร้านค้าออนไลน์ที่รองรับการซื้อคริปโตจะใช้กระบวนการทำธุรกรรมในตัวตัวอย่างเช่น เมื่อซื้อคอมพิวเตอร์ด้วย Newegg คุณจะสามารถชำระเงินด้วยบิทคอยน์ได้

  1. เพิ่มสินค้าลงในรถเข็นของคุณ
  2. เลือกวิธีการจัดส่ง
  3. เลือก “Bitcoin” ใต้ใบเรียกเก็บเงิน
  4. เปิดแอพ Bitcoin Wallet ของคุณ
  5. สแกนรหัส QR หรือคัดลอกและวางที่อยู่การชำระเงินที่ได้รับ
  6. ทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้นใน Bitcoin Wallet ของคุณ
  7. ตรวจสอบอีเมลเพื่อยืนยัน

เวลาในการชำระเงินจะแตกต่างกันไปตามเครือข่ายหรือคุณสามารถใช้บัตรคริปโต เช่น Coinbase Visa บัตรของ Coinbase เปิดโอกาสให้คุณสามารถจัดสรรเหรียญให้กับบัตรและใช้จ่ายเงินได้ Coinbase ยังจ่ายรางวัลเป็นคริปโต (มากถึง 3%) เมื่อซื้อผ่านบัตร ซึ่งรางวัลจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเดือน

กระดานเทรดคริปโตที่ดีที่สุด


เมื่อคุณพร้อมซื้อคริปโตแล้ว Centralized Exchange ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งกระดานชั้นนำต่างก็มีตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร บัตรเดบิต หรือแม้แต่ PayPal ในบางกรณีโปรดพิจารณาแพลตฟอร์มเหล่านี้หากคุณเพิ่งเริ่มต้นซื้อเหรียญ:

eToro

eToro

eToro เปิดตัวในปี 2007 และเป็นผู้นำตลาดด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น ฟีเจอร์ Copy Trading ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณสามารถดูสถิติการซื้อขายและติดตามเทรดเดอร์ชั้นนำ เมื่อเทรดเดอร์ดังกล่าวทำการซื้อขาย ยอดการซื้อขายที่คุณจัดสรรให้กับฟีเจอร์ Copy Trading ก็จะทำการซื้อขายเช่นเดียวกัน เปิดโอกาสให้ทุกคนซื้อขายได้เหมือนเทรดเดอร์มากประสบการณ์

eToro ยังมีบัญชีทดลองเพื่อให้คุณสามารถฝึกเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงใช้เงินจริง

แพลตฟอร์ม eToro รองรับคริปโตมากกว่า 80 สกุล พร้อมกับหุ้นและกองทุน ETF โดยสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้จะแตกต่างกันไปตามประเทศของผู้ใช้

ภาพรวมของ eToro

จำนวนคริปโตที่รองรับ 80+ รวมถึง BTC, ETH, SOL, DOGE, ARB, HBAR
วิธีการชำระเงิน
  • โอนเงินผ่านธนาคาร
  • บัตรเดบิต
  • PayPal
ค่าธรรมเนียมการเทรด 1% + ค่าสเปรด
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ 1.00 ดอลลาร์

ข้อดี:

  • เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับมือใหม่
  • ค่าธรรมเนียมการเทรดที่คาดการณ์ได้
  • ฟีเจอร์ Copy Trading
  • บัญชีทดลอง

ข้อด้อย:

  • ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน
  • ค่าธรรมเนียมเมื่อไม่ใช้งาน
  • มีเหรียญให้เลือกไม่มากนัก 

Coinbase

Coinbase

Coinbase เป็นกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตแบบสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือที่สุดเมื่อพูดถึงการเทรดเหรียญ ทางแพลตฟอร์มนำเสนอฟีเจอร์ Simple Trades ซึ่งเป็นวิธีการซื้อ ขาย และการเทรดที่เหมาะสำหรับมือใหม่ รวมถึงแพลตฟอร์มการเทรดขั้นสูงที่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ถูกกว่า

บัตรคริปโตของ Visa จะช่วยให้คุณใช้คริปโตได้เหมือนกับเงินสด ในขณะเดียวกันก็ให้รางวัลเป็นคริปโตอีกด้วย

กระดานแลกเปลี่ยน Coinbase รองรับเหรียญมากกว่า 250 สกุลพร้อมตัวเลือกสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อให้คุณเทรดได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

ภาพรวมของ Coinbase

จำนวนคริปโตที่รองรับ 250+ รวมถึง BTC, ETH, SOL, ADA, LINK, AVAX, TIA
วิธีการชำระเงิน
  • โอนเงินผ่านธนาคาร
  • บัตรเดบิต
  • PayPal
ค่าธรรมเนียมการเทรด
  • การเทรดแบบธรรมดา: เปลี่ยนแปลงได้สูงสุด 3% + ค่าสเปรด (การซื้อขายผ่านการโอนผ่านธนาคาร)
  • Coinbase Advance: 0.6% คำสั่งจำกัด 0.6%, คำสั่งซื้อขาย 0.8%
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ 0.60 ดอลลาร์ตามคำสั่งจำกัดของ Coinbase Advance

ข้อดี:

  • เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับมือใหม่
  • รองรับคริปโตมากมาย
  • เชื่อมต่อโดยตรงกับ Coinbase Wallet
  • บัตรรางวัลคริปโต

ข้อด้อย:

  • ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นสำหรับการเทรดแบบธรรมดา
  • อินเทอร์เฟซที่ใช้งานยาก

Kraken

Kraken

Kraken เปิดตัว 2011 โดยเป็นหนึ่งในกระดานเทรดคริปโตที่เก่าแก่ที่สุดและได้สร้างชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมในคอมมิวนิตี้คริปโต ตัวกระดานมีทั้งแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่ายและแพลตฟอร์มขั้นสูงที่เรียกว่า Kraken Pro

ส่วนฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการเทรดคริปโต ได้แก่ บริการ Staking (ไม่มีให้บริการในอเมริกา) และการเทรดมาร์จิ้นสำหรับบัญชีที่ผ่านการรับรอง ทางแพลตฟอร์มยังเสนอระบบเทรดฟิวเจอร์ในตลาดที่รองรับอีกด้วย

ภาพรวมของ Kraken

จำนวนคริปโตที่รองรับ 240+ รวมถึง BTC, SOL, ETH, AVAX, ADA, DOGE, TIA
วิธีการชำระเงิน
  • โอนเงินผ่านธนาคาร
  • บัตรเดบิต
  • PayPal
ค่าธรรมเนียมการเทรด
  • การซื้อขายขั้นพื้นฐาน: เปลี่ยนแปลงได้สูงสุด 2% + ค่าสเปรด (การเทรดผ่านการโอนผ่านธนาคาร)
  • Kraken Pro: คำสั่งจำกัด 0.16%, คำสั่งซื้อขาย 0.26%
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ 0.16 ดอลลาร์ตามคำสั่งจำกัดของ Kraken Pro

ข้อดี:

  • แพลตฟอร์มใช้งานง่าย
  • กลไกพิสูจน์เงินทุนสำรอง
  • การเทรดมาร์จิ้นและฟิวเจอร์สำหรับบัญชีที่ผ่านการรับรอง

ข้อด้อย:

  • ค่าธรรมเนียมสูงสำหรับบัตรเดบิต
  • มีฟีเจอร์ลดลงเมื่อใช้ในอเมริกา 

วิธีลงทุนในเหรียญคริปโต


ก่อนหน้านี้ เราได้พูดคุยถึงวิธีซื้อ Cryptocurrency กันไปแล้ว โดยวิธีซื้อที่ใช้กันบ่อยที่สุดคือการใช้กระดานแลกเปลี่ยนเช่น Coinbase หรือโบรกเกอร์อย่าง eToroหากต้องการลงทุนในคริปโตบน eToro คุณก็สามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ตามนี้

  1. ไปยัง eToro เพื่อเปิดบัญชี ทำตามคำแนะนำเพื่อใส่ชื่อ ที่อยู่ อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์
  2. ยืนยันตัวตน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ eToro ต้องใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  3. ฝากเงินเพื่อเทรด เชื่อมต่อบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต หรือบัญชี PayPal โดยคุณสามารถเริ่มเทรดได้ตั้งแต่ 10 ดอลลาร์บน eToro
  4. เลือกสกุลเงินดิจิตอล เทรดเดอร์หน้าใหม่หลายคนจะเริ่มต้นด้วย BTC แต่ eToro ก็รองรับเหรียญมากกว่า 80 สกุล
  5. ซื้อเหรียญ ค้นหาเหรียญที่คุณเลือก จากนั้นกดที่ปุ่มเทรดและใส่รายละเอียดเพื่อเริ่มต้นเทรด

เหรียญดิจิตอลชั้นนำ

นักลงทุนคริปโตหน้าใหม่หลายคนจะเริ่มลงทุนในเหรียญชั้นนำก่อนเป็นอย่างแรก ตัวอย่างเช่น การศึกษาตลาดคริปโตตั้งแต่ปี 2023 แสดงให้เห็นว่ามีผู้ถือเหรียญประมาณ 420 ล้านคนทั่วโลก โดยถือ Bitcoin 219 ล้านคน (มากกว่าครึ่ง) ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าบิทคอยน์คือราคาแห่งตลาดคริปโตสกุลเงินดิจิทัล มีอะไรบ้างที่ควรพิจารณาเอาไว้:

  • Bitcoin (BTC)
  • Ethereum (ETH)
  • BNB (BNB)
  • Ripple (XRP)
  • Solana (SOL)
  • Cardano (ADA)
  • Avalanche (AVAX)
  • Dogecoin (DOGE)
  • Tron (TRX)
  • Polkadot (DOT)
  • Polygon (MATIC)
  • Chainlink (LINK)

เหรียญที่เป็นที่ยอมรับจะทำให้ตลาดการเทรดมีขนาดใหญ่ขึ้นและอาจมีความเสี่ยงน้อยลง แต่ผลตอบแทนในอนาคตอาจไม่งามเท่าวันแรกที่สินทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากราคาเดิม

เหรียญใหม่

คุณยังสามารถพิจารณาเหรียญคริปโตใหม่ หรือโปรเจกต์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักและมีโอกาสเติบโต ซึ่งอาจรวมถึงเหรียญและโทเค็นที่ช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนาโปรโตคอลคริปโตรุ่นเก่าต่อไปนี้คือเหรียญที่คุณควรพิจารณา:

  • Celestia (TIA)
  • Sei (SEI)
  • Internet Computer (ICP)
  • Fetch.ai (FET)
  • Kaspa (KAS)
  • Hedera (HBAR)
  • Fantom (FTM)
  • Seamless (SEAM)

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัล


การเทรดคริปโตนั้นถูกกฎหมายในประเทศส่วนใหญ่แต่ก็มีข้อบังคับที่แตกต่างกันไป และในบางประเทศก็ยังคงมีความสับสนว่าเหรียญคริปโตใดจะต้องจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ และเหรียญใดถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่าในอเมริกา ก.ล.ต. ได้ฟ้องร้องกระดานแลกเปลี่ยนหลายแห่งรวมถึง Coinbase และ Kraken ที่เปปิดขาย “หลักทรัพย์ไม่ได้จดทะเบียน”

หลักทรัพย์คืออะไร?

ในอเมริกา หลักทรัพย์คือสัญญาการลงทุน ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อจะคาดหวังผลตอบแทนตามการทำงานของคนอื่น ในอดีตสินทรัพย์นั้นถูกกำหนดโดย “Howey Test” ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสี่อย่างด้วยกัน:

  • เป็นการลงทุนด้วยเงิน
  • เป็นการลงทุนกับองค์กรธุรกิจทั่วไป
  • เป็นการลงทุนที่นักลงทุนมีการคาดหวังถึงผลกำไร
  • ผลกำไรมาจากการทำงานของคนอื่น

การขาดความชัดเจนด้านข้อบังคับในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาจสร้างความท้าทายในการเทรดได้ หากกระดานแลกเปลี่ยนหยุดสนับสนุนสินทรัพย์คริปโคที่ตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานรัฐบาลในคดีความล่าสุด ก.ล.ต. กำหนดให้คริปโตหลายสกุลเป็นหลักทรัพย์

  • SOL
  • ADA
  • MATIC
  • SAND
  • ICP
  • DASH
  • NEXO

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในคอมมิวนิตี้คริปโตหลายคนไม่เห็นด้วย

Cryptocurrency คือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

คริปโตเคอเรนซี่สามารถทำหน้าที่เหมือนกับเงินในการซื้อขายส่วนตัว แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่า Cryptocurrency คือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายปัจจุบัน มีเพียงสองประเทศเท่านั้นที่ได้ผ่านกฎหมายยอมรับให้ Cryptocurrency คือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายสาธารณรัฐแอฟริกากลาง: Bitcoin
เอลซัลวาดอร์: Bitcoin

ภาษีคริปโต

เขตอำนาจศาลหลายแห่งเช่นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมองว่าคริปโตเป็นสินทรัพย์ ซึ่งหมายความว่ากำไรจากคริปโตจะต้องเสียภาษีโดยปกติแล้ว รายได้ที่จ่ายเป็นคริปโตจะต้องเสียภาษีเช่นกัน เช่นเดียวกับรายได้อื่นๆตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ที่ต้องเสียภาษีทั้งหมด ได้แก่:

  • กำไรจากส่วนต่างราคา
  • รายได้จากการ Staking
  • รายได้จากการขุด
  • การแจกเหรียญ Airdrop
  • การชำระเงินด้วยคริปโต
  • ดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากโปรโตคอลคริปโต
  • ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมคริปโต

อเมริกาเก็บภาษีเป็นเงินดอลลาร์ ดังนั้นธุรกรรมทั้งหมดจะต้องแปลงเป็นมูลค่าดอลลาร์ ณ เวลาที่ธุรกรรมเพื่อคิดเป็นภาษีที่ต้องชำระ

คุณควรลงทุนในคริปโตหรือไม่?


คริปโตและ Blockchain ได้สัญญาว่าจะปฏิวัติตลาดการเงินและเข้าถึงชีวิตประจำวันของเราในขณะที่สินทรัพย์ในโลกจริงถูกเปลี่ยนให้เป็นโทเค็น ทำให้สามารถเข้าถึงมูลค่าได้จากทุกที่ทุกเวลาอย่างไรก็ตาม ด้วยโปรเจกต์ Blockchain กว่าหลายพันโปรเจกต์ที่กำลังพัฒนา จึงอธิบายได้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดจะประสบความสำเร็จ และบางโปรเจกต์อาจไม่ได้รับความสนใจตามที่ต้องการบ่อยครั้งวิธีที่ดีที่สุดคือสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ขอคริปโต โดยการจัดสรรส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนเพื่อซื้อคริปโตที่คุณได้ศึกษาและเข้าใจเป็นอย่างดีกลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านการทดสอบมาแล้วสองครั้งจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

  • การกระจายความเสี่ยง: หากคุณเลือกที่จะลงทุนในคริปโต ให้พิจารณาซื้อมากกว่าหนึ่งเหรียญเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ยังต้องพิจารณาซื้อเหรียญให้เป็นส่วนใหญ่ของพอร์ตการลงทุนที่รวมโปรเจกต์ที่มุ่งเน้นไปที่หลายๆ ด้านด้วย
  • การลงทุนแบบสม่ำเสมอ: ราคาคริปโตนั้นขึ้นๆ ลงๆ และมีมูลค่าตลาดที่ค่อนข้างต่ำ ราคาเทรดเหรียญและโทเค็นอาจถูกผลักดันโดยอิทธิพลจากภายนอก เช่น ข่าว ได้ การลงทุนแบบสม่ำเสมอหรือ DCA ก็คือการซื้อเหรียญในจำนวนเงินคงที่ตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ ทำให้สามารถซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังสามารถซื้อเหรียญเพิ่มเมื่อราคาลงได้อีกด้วย

ข้อดีและข้อด้อยของคริปโตเคอเรนซี่คืออะไร?

เรามาเจาะลึกข้อดีและข้อด้อยของคริปโตกันบ้างดีกว่า

ข้อดี:

  • เป็นสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันเงินเฟ้อ
  • ทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • การโอนเหรียญข้ามพรมแดน
  • การกระจายอำนาจทำให้คริปโตเป็นเงินของประชาชน
  • ธุรกรรมที่ไม่ต้องมีการเชื่อถือคนกลาง

ข้อด้อย:

  • ความผันผวนของราคา
  • ความไม่แน่นอนด้านข้อบังคับ
  • ความยากในการจัดการ Crypto Wallet

อ้างอิง